วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557


 ธนาคารแห่งแรกของไทย

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ หลังจากไทยเปิดประตูกับประเทศตะวันตกแล้ว ก็มีธนาคารของชาวตะวันตกตามเข้ามาเปิดบริการลูกค้าของตนในกรุงเทพฯ เช่น ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้  ธนาคารชาร์เตอร์ด  ธนาคารอินโดจีน  นอกจากนี้ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ยังมีชาวอังกฤษคบคิดกันจะตั้ง “แบงก์หลวงกรุงสยาม” กำหนดทุนจดทะเบียน ๑ ล้านปอนด์สเตอริงโดยให้คนไทยซื้อหุ้นได้ไม่เกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ทำท่าว่าจะยึดการคลังของประเทศ

ธนาคารไทยพาณิชย์ที่ตลาดน้อย
ด้วย เหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าจ้าอยู่หัว และพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ซึ่งตามเสด็จประพาสยุโรป ดูงานการธนาคารมาเป็นเวลา ๙ เดือน จึงทรงดำริตรงกันที่จะตั้งสถาบันการเงินของไทยขึ้นบ้าง

แม้จะถูกขัดขวางอยู่มาก แต่ในที่สุดสถาบันการเงินแห่งแรกของคนไทยก็แอบเปิดขึ้นได้ในวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๗  ในชื่อ  “บุคคลัภย์” ให้มีความหมายเป็น  “Book Club”  มีเงินทุนเพียง ๓๐,๐๐๐ บาท ใช้ตึกแถวของพระคลังข้างที่  ที่บ้านหม้อเป็นสำนักงานแห่งแรก

เกี่ยวกับชื่อ  “บุคคลัภย์” นั้น กรมหมื่นมหิศราฯ ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ลงวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๘ ไว้ว่า

“สำหรับคนไทยฟัง ก็คิดแปลเล่นขันๆ ไม่รู้ว่าอะไร ถ้าฝรั่งฟังก็เข้าใจว่าปับบลิกไลเบรรี และทำอะไรต่ออะไรให้เคลือบคลุม เพื่อไม่ให้ทราบว่าจัดแบบแบงก์กิง...”

ใน “หนังสือแจ้งความเรื่องตั้งบุคคลัภย์” ก็ยังแสดงว่าเป็นการตั้งห้องสมุด มีหนังสือให้สมาชิกยืมอ่าน โดยเชิญชวนให้มาใช้บริการว่า

“ไม่ ว่าผู้มีบรรดาศักดิ์สูงต่ำอย่างใด เมื่อมีความพอใจเป็นสหายของบุคคลัภย์   ก็จะเป็นได้ไม่เลือกหน้า...สหายผู้แรกเข้าจะต้องช่วยเงินใช้สอยครั้งแรกเป็น เงิน ๑ บาท ต่อไปอีกปีละ ๑ บาท”

แสดงตนเป็นกลลวงบางกลุ่ม แต่ในทางปฏิบัติ บุคคลัภย์ดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ รับฝากเงินโดยให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี  ซึ่งในช่วงแรกมีคนฝากเงินถึง ๘๐,๐๐๐ บาท

เมื่อบุคคลัภย์ประสบความสำเร็จ เป็นที่เชื่อถือของคนไทย และความลับที่ต้องแอบเปิดรู้กันไปทั่วแล้ว จึงเปิดตัวเป็นธนาคารอย่างเต็มตัว โดยกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเป็นพิเศษ จัดตั้งเป็น “บริษัท แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด” โปรดเกล้าฯ  ให้ใช้ตราอาร์ม แผ่นดิน มีข้อความว่า “ตั้งโดยพระบรมราชานุญาต” ติดหน้าธนาคารเป็นแห่งแรก จนในสมัยรัชกาลที่ ๖  จึงเปลี่ยนตราอาร์มทุกแห่งเป็นตราครุฑ

ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ บริษัท แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ได้ย้ายจากบ้านหม้อไปอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตลาดน้อย สัมพันธวงศ์

ต่อมาในวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ จึงเปลี่ยนชื่อเป็น
“ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด” เพื่อรับกับการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม เป็น “ไทย”
 


อาเซียน (ASEAN) เป็นการรวมตัวกันของ  10  ประเทศ   ในทวีปเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้  ผู้นำอาเซียนได้ร่วมลงนามในปฎิญญาว่าด้วย  ความร่วมมืออาเซียนเห็นชอบ ให้จัดตั้ง  ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community)    คือ   เป็นองค์กรระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   มีจุดเริ่มต้นโดยประเทศไทย   มาเลเซีย และฟิลิปปินส์   ได้ร่วมกันจัดตั้ง   สมาคมอาสา (Association of South East Asia) เมื่อเดือน ก.ค.2504   เพื่อการร่วมมือกันทาง เศรษฐกิจ  สังคมและวัฒนธรรม  แต่ 
ดำเนินการ ไปได้เพียง 2 ปี ก็ต้องหยุดชะงักลง  เนื่องจากความผกผันทางการเมือง
ระหว่างประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย จนเมื่อมีการฟื้นฟูสัมพันธ์ทางการฑูต
ระหว่างสองประเทศ
          จึงได้มีการแสวงหาหนทางความร่วมมือกันอีกครั้ง และสำเร็จภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) แต่ต่อมาได้ตกลงร่นระยะเวลาจัดตั้งให้เสร็จในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ในปีนั้นเองจะมีการเปิดกว้างให้ประชาชนในแต่ละประเทศสามารถเข้าไปทำงานใน ประเทศ  อื่น ๆ ในประชาคมอาเซียนได้อย่างเสรี   เสมือนดังเป็นประเทศเดียวกัน
         ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการประกอบอาชีพและการมีงานทำของคนไทย ควรทำความ
เข้าใจในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน



ความเป็นมาของอาเซียน
              สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้  (Association  of  Southeast  Asian  Nations  หรือ  ASEAN)  ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ  (Bangkok  Declaration)  หรือ  ปฏิญญาอาเซียน  (ASEAN  Declaration)  เมื่อวันที่  8  สิงหาคม  2510  โดยมีประเทศสมาชิก  5  ประเทศ  ประกอบด้วย  อินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์  สิงคโปร์  และไทย
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเมือง  เศรษฐกิจและสังคม  ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ต่อมามีประเทศสมาชิกเพิ่มเติม  ได้แก่  บรูไนดารุส-ซาลาม   เวียดนาม   ลาว   เมียนมาร์  และกัมพูชา  ตามลำดับ   จึงทำให้ปัจจุบันอาเซียน   มีสมาชิก  10  ประเทศ

“อาเซียน” สู่การเป็นประชาคมอาเซียน  ในปี 2558
              ปัจจุบัน  บริบททางการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคม   รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก      ทำให้อาเซียนต้องเผชิญ สิ่งท้าทายใหม่ๆ    อาทิ    โรคระบาด    การก่อการร้าย   ยาเสพติด  การค้ามนุษย์  สิ่งแวดล้อม  ภัยพิบัติ  อีกทั้ง  ยังมีความจำเป็นต้องรวมตัวกันเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและขีดความสามารถทางการ แข่งขันกับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง  และในเวทีระหว่างประเทศ  ผู้นำอาเซียนจึงเห็นพ้องกันว่า  อาเซียนควรจะร่วมมือกันให้เหนียวแน่น  เข้มแข็ง  และมั่นคงยิ่งขึ้น  จึงได้ประกาศ  “ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน  ฉบับที่ 2”  (Declaration  of  ASEAN  Concord  II)  ซึ่งกำหนดให้มีการสร้างประชาคมอาเซียนที่ประกอบไปด้วย  3  เสาหลัก ได้แก่ 
              -  ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community - APSC) มุ่งให้ประเทศกลุ่มสมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แก้ไขปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธี มีเสถียรภาพและความมั่นคงรอบด้าน เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของเหล่าประชาชน
              -  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) มุ่งเน้นให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน เพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นๆได้โดย
              -   ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio - Cultural Community - ASCC) มุ่งหวังให้ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีความมั่นคงทางสังคม มีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน และมีสังคมแบบเอื้ออาร โดยจะมีแผนงานสร้างความร่วมมือ 6 ด้าน คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน การลดช่องว่างทางการพัฒนา
              ซึ่งต่อมาผู้นำอาเซียนได้ตกลงให้มีการจัดตั้งประชาคมอาเซียนให้แล้วเสร็จเร็วขึ้นมาเป็นภายในปี 2558

ประชาคมอาเซียน คือ
              ประชาคมอาเซียน  (ASEAN  Community)  คือ  การรวมตัวของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นชุมชนที่มีความแข็งแกร่ง  สามารถสร้างโอกาสและรับมือส่งท้าท้าย  ทั้งด้านการเมืองความมั่นคง  เศรษฐกิจ  และภัยคุกคามรูปแบบใหม่  โดยสมาชิกในชุมชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี  สามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น  และสมาชิก  ในชุมชนมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จุดประสงค์หลักของอาเซียน
              ปฏิญญากรุงเทพฯ ได้ระบุวัตถุประสงค์สำคัญ 7 ประการของการจัดตั้งอาเซียน ได้แก่
              1.  ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการบริหาร
              2.  ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงส่วนภูมิภาค
              3.  เสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจพัฒนาการทางวัฒนธรรมในภูมิภาค
              4.  ส่งเสริมให้ประชาชนในอาเซียนมีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี
              5. ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในรูปของการฝึกอบรมและการวิจัย และส่งเสริมการศึกษาด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
              6. เพิ่มประสิทธิภาพของการเกษตรและอุตสาหกรรม การขยายการค้า ตลอดจนการปรับปรุงการขนส่งและการคมนาคม
              7. เสริมสร้างความร่วมมืออาเซียนกับประเทศภายนอก องค์การ ความร่วมมือแห่งภูมิภาคอื่นๆ  และองค์การระหว่างประเทศ

ภาษาอาเซียน
              ภาษาทางการที่ใช้ในการติดต่อประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก  คือ  ภาษาอังกฤษ
คำขวัญของอาเซียน
                                                        
"หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม”
                                           (One Vision, One Identity, One Community)

อัตลักษณ์อาเซียน
             อาเซียนจะต้องส่งเสริมอัตลักษณ์ร่วมกันของตนและความรู้สึกเป็นเจ้าของในหมู่ ประชาชนของตน  เพื่อให้บรรลุชะตา  เป้าหมาย  และคุณค่าร่วมกันของอาเซียน

สัญลักษณ์อาเซียน
              คือ   ดวงตราอาเซียนเป็น
              รูปมัดรวงข้าว สีเหลืองบนพื้นวงกลม
              สีแดงล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาว  และสีน้ำเงิน
              รวงข้าวสีเหลือง 10 ต้น หมายถึง ความใฝ่ฝันของบรรดาสมาชิกในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 10 ประเทศ  ให้มีอาเซียนที่ผูกพันกันอย่างมีมิตรภาพและเป็นหนึ่งเดียว
              วงกลม  เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเอกภาพของอาเซียน
              ตัวอักษรคำว่า  asean  สีน้ำเงิน  อยู่ใต้ภาพรวงข้าว  แสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความมั่นคง  สันติภพ  เอกภาพ  และความก้าวหน้าของประเทศสมาชิกอาเซียน
              สีเหลือง    :   หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
              สีแดง       :    หมายถึง ความกล้าหาญและการมีพลวัติ
              สีขาว       :    หมายถึง ความบริสุทธิ์
              สีน้ำเงิน    :    หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
ธงอาเซียน
              ธงอาเซียนเป็นธงพื้นสี น้ำเงิน  มีดวงตราอาเซียนอยู่ตรงกลาง  แสดงถึงเสถียรภาพ  สันติภาพ  ความสามัคคี  และพลวัตของอาเซียน
สีของธงประกอบด้วย  สีน้ำเงิน  สีแดง  สีขาว  และสีเหลือง  ซึ่งเป็นสีหลักในธงชาติของบรรดาประเทศสมาชิกของอาเซียนทั้งหมด

วันอาเซียน
              ให้วันที่  8  สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันอาเซียน
เพลงประจำอาเซียน (ASEAN  Anthem)
              คือ  เพลง  ASEAN  WAY
กฎบัตรอาเซียน
              กฎบัตรอาเซียน  กำหนดให้อาเซียนและประเทศสมาชิกปฏิบัติตามหลักการดังต่อไปนี้
              1.  เคารพเอกราช  อธิปไตย  ความเสมอภาค  บูรณภาพแห่งดินแดน  และอัตลักษณ์แห่งชาติของรัฐสมาชิกอาเซียนทั้งปวง
              2.  ผูกพันและรับผิดชอบร่วมกันในการเพิ่มพูนสันติภาพ  ความมั่นคง  และความมั่งคั่งของภูมิภาค
              3.  ไม่รุกรานหรือข่มขู่ว่าจะใช้กำลังหรือการกระทำอื่นใดในลักษณะที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
              4.  ระงับข้อพิพาทโดยสันติ
              5.  ไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน
              6.  เคารพสิทธิของรัฐสมาชิกทุกรัฐในการธำรงประชาชาติของตนโดยปราศจากการแทรกแซง  การบ่อนทำลาย  และการบังคับจากภายนอก
              7.  ปรึกษาหารือที่เพิ่มพูนขึ้นในเรื่องที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อผลประโยชน์ร่วมกันของอาเซียน
              8.  ยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม  ธรรมาภิบาล  หลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ
              9.  เคารพเสรีภาพพื้นฐาน  การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน  และการส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม
              10.  ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ    รวมถึงกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ  ที่  รัฐสมาชิกอาเซียนยอมรับ
              11.  ละเว้นจากการมีส่วนร่วมในการคุกคามอธิปไตย  บูรณภาพแห่งดินแดนหรือเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐสมาชิกอาเซียน
              12. เคารพในวัฒนธรรม  ภาษา  และศาสนาที่แตกต่างของประชาชนอาเซียน
              13.  มีส่วนร่วมกับอาเซียนในการสร้างความสัมพันธ์กับภายนอกทั้งในด้านการเมือง  เศรษฐกิจ  และสังคม  โดยไม่ปิดกั้นและไม่เลือกปฏิบัติ
              14. ยึดมั่นในกฎการค้าพหุภาคีและระบอบของอาเซียน

             
                            กฎบัตรอาเซียน.....(คลิกรายละเอียดเพิ่มเติม)

ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจาก AEC (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน)
           ประชาคมอาเซียนที่จะถือกำเนิดใน ปี 2558 นั้น คนไทยจะได้ประโยชน์อะไร แน่นอนเราคงอยากทราบ แต่ในชั้นนี้ขอจำกัดเฉพาะทางเศรษฐกิจก่อน
              ประการแรก ไทยจะ “มีหน้ามีตาและฐานะ” เด่นขึ้นประชาคมอาเซียนจะทำให้เศรษฐกิจ “ของเรา” มีมูลค่ารวมกัน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีขนาดใหญ่อันดับ 9 ของโลก ยังประโยชน์แก่คนไทยทุกคนที่จะได้ยืนอย่างสง่างาม “ยิ้มสยาม” จะคมชัดขึ้น
              ประการที่สอง การ ค้าระหว่างไทยกับประเทศอาเซียนจะคล่องและขยายตัวมากขึ้น กำแพงภาษีจะลดลงจนเกือบจะหมดไป เพราะ 10 ตลาดกลายเป็นตลาดเดียว ผู้ผลิตจะส่งสินค้าไปขายในตลาดนี้และขยับขยายธุรกิจของตนง่ายขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็จะมีทางเลือกมากขึ้นราคาสินค้าจะถูกลง
              ประการที่สาม ตลาด ของเราจะใหญ่ขึ้น แทนที่จะเป็นตลาดของคน 67 ล้านคน ก็จะกลายเป็นตลาดของคน 590 ล้านคน ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ เพราะสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยสามารถส่งออกไปยังอีกเก้าประเทศได้ราวกับส่ง ไปขายต่างจังหวัด ซึ่งก็จะช่วยให้เราสามารถแข่งขันกับจีนและอินเดียในการดึงดูดการลงทุนได้มาก ขึ้น
              ประการที่สี่ความ เป็นประชาคมจะทำให้มีการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารคมนาคมระหว่างกันเพื่อ ประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุน แต่ก็ยังผลพลอยได้ในแง่การไปมาหาสู่กัน ซึ่งก็จะช่วยให้คนในอาเซียนมีปฏิสัมพันธ์กัน รู้จักกัน และสนิทแน่นแฟ้นกันมากขึ้น เป็นผลดีต่อสันติสุข ความเข้าใจอันดีและความร่วมมือกันโดยรวม นับเป็นผลทางสร้างสรรค์ในหลายมิติด้วยกัน
              ประการที่ห้า โดย ที่ ไทยตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางบนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่อาเซียน ประเทศไทยย่อมได้รับประโยชน์จากปริมาณการคมนาคมขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นในอา เซียนและระหว่างอาเซียนกับจีน (และอินเดีย) มากยิ่งกว่าประเทศอื่นๆ
บริษัทด้านขนส่ง คลังสินค้า ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ จะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน จริงอยู่ ประชาคมอาเซียนจะยังผลทั้งด้านบวกและลบต่อประเทศไทย ขึ้นอยู่กับพวกเราคนไทยจะเตรียมตัวอย่างไร แต่ผลทางบวกนั้นจะชัดเจน เป็นรูปธรรมและจับต้องได้
 





 โทษของอาหารขยะ

ทำให้ดูแก่เร็ว
อาหารขยะ หรือว่า Junk Food คงเป็นเมนูโปรด ของใครหลายคน ใช่รึเปล่าคะ แต่จะมีซักกี่คน กันนะ ที่จะคำนึงถึง ปริมาณของ แป้ง และน้ำตาล ที่เป็นส่วนประกอบ ในอาหารเหล่านั้น และเมื่อแป้งถูกร่างกาย เปลี่ยนสภาพให้เป็นน้ำตาลแล้ว เจ้าพวกน้ำตาลเหล่านี้ จะส่งผลต่อระดับอินซูลิน ที่ทำหน้าที่เผาผลาญ คาร์โบไฮเดรต ที่อยู่ใน ร่างกายของเรา แล้วยังไปทำลาย คอลลาเจนในร่างกาย อีกด้วย ทำให้ผิวของเรา ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
เกิดอาการท้องผูก
การใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ในเมืองใหญ่ ส่งผลให้บรรดาหนุ่ม สาวออฟฟิส ต้องพึ่งพา ขนมปัง แฮมเบอร์เกอร์ เป็นอาหารหลัก และแน่นอนก็ต้องเสี่ยงกับสภาวะท้องผูก บวกโรคอ้วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีส่วนผสมของ แป้ง และน้ำตาลแล้ว ยังผ่านการฟอกสี แถมมีไฟเบอร์อีกต่างหาก
เกิดอาการปวดหัว โดยไม่ทราบสาเหตุ
การที่เรามีอาการปวดหัวโดยไม่ทราบสาเหตุ นั่นอาจเป็นเพราะเรารับประทาน อาหารจำพวก แฮม ไส้กรอก และชีส เยอะเกินไป เนื่องจากอาหารเหล่านั้นมีส่วนผสมของ Tyramine ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดอาการ ปวดศีรษะ ตัวร้อน เจ็บหน้าอก อีกทั้งยังทำให้มีความดันเลือดสูงอีกด้วย
บวมน้ำ
อาหารขยะ หรือ Junk Food เช่น เฟรนช์ฟรายด์ มันฝรั่งทอดกรอบต่างๆ ที่วางขาย มักมีส่วนผสมของ เกลือ หรือโซเดียม ในปริมาณที่สูงมาก และบรรดาโซเดียมนี่ล่ะ จะเป็นตัวดูดน้ำ เข้ามาเก็บไว้ในเนื้อเยื่อ จนทำให้ร่างกายบวมน้ำ ถ้ารู้ว่าวันไหน รับประทานอาหารจำพวกนี้เยอะไปล่ะก็ ให้รับประทานผลไม้ ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น สับปะรด กล้วย แอ๊ปเปิ้ล เพื่อช่วยขับโซเดียมออก เพื่อลดอาการบวมน้ำได้ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557


สวยด้วยน้ำมะพร้าว

coconut
เคยได้ยินไหมว่าดื่มน้ำมะพร้าวแล้วผิวสวย เหตุผลก็คือในน้ำมะพร้าวอุดมไปด้วยแร่ธาตุจากธรรมชาติ เพราะ ต้นมะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน ทำให้น้ำมะพร้าวที่ได้มามีความบริสุทธิ์ อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี นอกจากนี้ในน้ำมะพร้าวยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาทีและยังเป็นประโยชน์ในการ ขับสารพิษออกจากร่างกายด้วย

จากผลงาน วิจัยพบว่าในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ที่จะทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของ เสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย คล้ายกับการทำ ดีท็อกซ์ จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับ สมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในร่างกายเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดี ทั้งภายในและภายนอก

โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นสิวหรือมีรอบเดือนติดต่อกันไม่หยุด การดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำยังมีส่วนช่วยให้ระบบภายในร่างกายดีขึ้น โดยช่วง แรกที่ดื่ม อาการเหล่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิม แต่นั่นถือเป็นสิ่งดี เพราะแสดงว่าร่างกายกำลังถูกกระตุ้นให้ขับของเสียออกมา และสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตร หากไม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกกิน ก็สามารถให้น้ำมะพร้าวเสริมแทนน้ำนมแม่ได้ เนื่อง จากน้ำมะพร้าวมีความบริสุทธิ์กว่านมผงหรือนมวัว และไม่มีสารเคมีเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็ก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย เนื่องจากมีปริมาณเกลือแร่ ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วง ได้ ดังนั้น น้ำมะพร้าวจึงจัดเป็นสปอร์ตดริงก์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายได้เช่น กัน โดยมีรายงานเพิ่มเติมว่า ชาวไต้หวันและชาวจีนนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลด อาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

การดื่มน้ำมะพร้าวที่ถูกต้องนั้น ควรเปิดลูกมะพร้าวแล้วดื่มในทันที ไม่ควรทิ้งไว้นาน เนื่องจากคุณค่าจะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ และ ควรซื้อมะพร้าวที่เฉาะสดๆ ซึ่งจะได้ทั้งความสดใหม่ และปลอดภัยกว่า หาก ใครต้องการมีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก รวมทั้งมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส แลดูอ่อนกว่าวัย น้ำมะพร้าวคือหนึ่งในเครื่องดื่มที่คุณควรดื่มค่ะ

               23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก


ถ้าเพื่อนๆ คิดว่า การที่เราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียนหนังสือ เข้าเรียนให้ทัน ไหนจะต้องนั่งรถเมล์เอง คุณพ่อคุณแม่ขับรถไปส่ง หรืออะไรก็แล้วแต่ นั้นเป็นเรื่องลำบากหล่ะก็ ลองมาดู 23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก นี้กันหน่อย แล้วเพื่อนๆ จะเห็นได้ว่าชีวิตเราสบายแค่ไหน ถ้ายังจะขี้เกียจอยู่เหมือนเดิม ลองไปอยู่โรงเรียนใน 23 ที่นี้กันหน่อยdก็น่าจะดีนะ ..

23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก

การศึกษาไม่ว่าจะประเทศไหนๆ ล้วนก็ให้ความสำคัญเหมือนกันทั้งนั้น แค่ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไหนจะมีการพัฒนาในเรื่องนี้มากน้อย หรือรวดเร็วมากกว่ากัน อย่างที่เราๆ เคยเห็นกันในประเทศที่ความเจริญเข้าถึง การศึกษานั้นก็มาเต็มรูปแบบทั้งสื่อการเรียนการสอน การบูรณาการการเรียน เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์มีครบครัน รวมถึงที่ตั้งของโรงเรียนก็มักจะเป็นที่กลางใจเมือง หรือมีการเดินทางที่สะดวกสบาย แต่ในบางประเทศ บางพื้นที่ที่ความเจริญเข้าไม่ถึง อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอุปกรณ์การเรียน หรือสื่อการสอนเลย แค่การเดินทางก็ลำบากสุดๆ แล้วเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เด็กๆ และครอบครัวเห็นเรื่องการศึกษาเป็นเรืองสำคัญ ถึงลำบากแค่ไหนก็ยอม ..
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งต้องเดินทางโดยใช้ลาเป็นพาหนะ โดยมีคุณตามาส่ง
1. โรงเรียนประถมในหมู่บ้าน Gulu ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศจีน โรงเรียนประถม BANGO มีจำนวนเด็กนักเรียน 49 คน มาจากหลายๆ หมู่บ้าน เด็กนักเรียนต้องเดินทางผ่านเส้นทางภูเขา หน้าผาสูงชัน นานกว่า 5 ชั่วโมง ซึ่งขนาดของความกว้างของถนนเพียง 1 ฟุตเท่านั้นเอง ต้องเดินทางเป็นทางขึ้น-ลงภูเขา หน้าผาสูงชัน และเต็มไปด้วยหินแทบทั้งนั้น ต้องเดินลัดเลาะตามเทือกเขาที่คดเคี้ยว และทางแคบๆ ซึ่งนับว่าอันตรายที่สุด! โรงเรียนแห่งนี้ยังถูกยกให้เป็น “The Most Remote School In The World” (โรงเรียนที่ไกลที่สุดของโลก) อีกด้วยคะ
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
2. ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เด็กนักเรียนในหมู่บ้าน Zhang Jiawan นี้ต้องเดินทางโดยการปีนป่ายบันไดไม้ ไปโรงเรียนที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาที่ 2,800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยที่ไม่มีหลักประกันรองรับอุบัติเหตุใดๆ ทั้งสิ้น เด็กนักเรียนจะอยู่ที่โรงเรียนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และจะกลับบ้านในทุกวันหยุดของสัปดาห์ ต่อมาบันไดไม้ก็ถูกรับปรุงเป็นบันไดเหล็กซึ่งมีความแข็งแรงกว่า ทำให้มีความปลอดภัยขึ้นมาอีกขึ้นหนึ่ง
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
คุณครู Li Guilin กำลังช่วยดูแลเด็กนักเรียนที่กำลังปืนบันไดขึ้นไปยังโรงเรียน
นอกจากนี้ยังมี โรงเรียนประถมในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในมณฑล Guizhou ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ต้องเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปยังโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติเป็นเวลากว่าพันปี
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เทือกเขาหิมาลัย
3.  ประเทศอินเดีย เด็กต้องเดินทางเพื่อจะไปโรงเรียนประจำ โดยใช้เส้นทางผ่านเทือกเขาหิมาลัย
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เด็กนักเรียนต้องเดินทางข้ามแม่น้ำ โดยข้ามสะพานแขวนที่ชำรุดเสียหาย
4.  Lebak ในประเทศอินโดนีเซีย เด็กนักเรียนต้องเดินทางข้ามแม่น้ำ โดยข้ามสะพานแขวนที่ชำรุดเสียหาย อันตรายเกิ๊น >,< แต่หลังจากที่ข่าวออกมา ทางการของอินโดนีเซียก็ได้ทำการสร้างสะพานที่ทำจากเหล็กแบบแข็งแรงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เด็กนักเรียนในหมู่บ้านนี้เดินทางไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เดซี่ โมรา เดินทางด้วยสายเคเบิ้ลด้วยความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง การเดินทางทั้งหมดใช้เวลา 60 วินาที
5. ประเทศโคลัมเบีย เด็กนักเรียนในหมู่บ้านห่างไกล ต้องเหาะเหินบนสายเคเบิ้ลผ่านหุบเขา ยาวกว่า 800 เมตร ที่อยู่เหนือแม่น้ำ Rio Negro เพื่อข้ามฝั่งไปยังโรงเรียน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
พายเรือแคนู
6. Riau ในประเทศอินเดีย เด็กนักเรียนต้องพายเรือแคนูผ่านแม่น้ำสายหลักไปยังโรงเรียนของพวกเขา
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
ข้ามรากต้นไม้ใหญ่ “สะพานแห่งชีวิต”
7. ประเทศอินเดีย เด็กนักเรียนเดินทางผ่านหุบเขา ข้ามรากต้นไม้ใหญ่ ไปโรงเรียน RCLP ในหมู่บ้าน Nongsohphan ซึ่งเกิดจากการที่คนในหมู่บ้านนั้นปลูก เพาะบ่ม เสริมสร้างรากต้นไม้ เมื่อวลาผ่านไปรากต้นไม้ก็งอกงามกลายมาเป็น “สะพานแห่งชีวิต”
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
ขี่ควายไปโรงเรียน
8. ในประเทศพม่า ในบางพื้นที่ที่ยังไม่เจริญ เด็กนักเรียนนั้นต้องขี่ควายไปโรงเรียนที่อยู่ระยะทางไกล
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เด็กนักเรียนตุ๊กๆ (รถลาก) เก่าๆ
9. ในเมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย เด็กนักเรียนหลายชีวิต นั่งเกวียน (ใช้ม้าลาก) ขณะกำลังเดินทางจากโรงเรียนกลับบ้าน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
Zhao Dzhihong และ Ji Yi ลูกสาววัย 4 ขวบ เดินทางข้ามสะพานหัก ในขณะที่หิมะกำลังตก เพื่อไปยังโรงเรียนใน Dutszyanguan ในมณฑลเสฉวน
10. โรงเรียน  Dujiangyan มณฑลเสฉวน ในประเทศจีน เด็กนักเรียนต้องเดินทางข้ามสะพานไม้ที่อยู่ในสภาพหัก-ชำรุดมาก ที่เกิดจากภัยภิบัติธรรมชาติ พร้อมบรรยากาศที่เหน็บหนาวจากหิมะตก เพื่อเดินทางไปยังโรงเรียน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
นั่งเรือข้ามแม่น้ำ
11. ใน Pangururan ประเทศอินโดนีเซีย เด็กนักเรียนนั่งเรือข้ามแม่น้ำเพื่อมายังโรงเรียน ถ้าในเรือมีนักเรียนนั่งเต็ม คนที่เหลือก็ต้องมายืนบนหลังคา หรือส่วนอื่นๆ ของเรือแทน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
Century Galle Fort ในประเทศศรีลังกา
12. Century Galle Fort  ในประเทศศรีลังกา นักเรียนหญิงต้องเดินข้ามไปโรงเรียนโดยใช้ไม้กระดาน ที่นำมาจากกำแพงในศตวรรษที่ 16
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
13. ใน Kerala ประเทศอินเดีย นักเรียนเดินทางไปโรงเรียนโดยเรือ
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
นั่งรถตุ๊กๆ (รถลาก) เก่าๆ
14. ใน Beldanga ประเทศอินเดีย เด็กนักเรียนนั่งรถตุ๊กๆ (รถลาก) เก่าๆ ไม่มีที่นั่งพอสำหรับทุกคนไปโรงเรียน
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
แพชั่วคราว
15. เด็กนักเรียนยากจน อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน Cilangkap ในจังหวัด Banten ประเทศอินโดนีเซีย ต้องเดินทางไปโรงเรียนข้ามแม่น้ำ Ciherang โดยใช้แพไม้ไผ่แคบๆ เป็นเวลามากกว่า 10 เดือน เนื่องจากสะพานข้ามแม่น้ำเกิดพังเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม และทางการท้องถิ่นก็ยังไม่ได้แก้ไขจึงต้องใช้แพนี้ชั่วคราว (10 เดือนก็ไม่ชั่วคราวละนะ >,<) ส่วนเด็กบางข้ามแม่น้ำด้วยการเดินเท้าก็มี
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เดินทางระยะไกลแถมยากลำบากกว่า 125 ไมล์ (กว่า 40 กม.) ผ่านเทือกเขา
16. นักเรียนจำนวน 80 คน ต้องเดินทางระยะไกลแถมยากลำบากกว่า 125 ไมล์ (กว่า 40 กม.) ผ่านเทือกเขาของนักเรียนเพื่อเดินทางไปโรงเรียนประจำ (กินนอน) ในมณฑล Pili ประเทศจีน อีกทั้งยังต้องข้ามผ่านแม่น้ำถึง 4 สาย ซึ่งระยะการเดินทางของเด็กๆ โรงเรียนนี้รวมแล้วใช้เวลาถึง 2 วัน!!
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
ในเกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซีย
17. ในเกาะสุมาตรา ในประเทศอินโดนีเซีย ในทุกๆ วัน เด็กนักเรียนกว่า 20 คนต้องเดินทางไปโรงเรียนใน Pinto Gabang โดยการไต่เชือก (ที่จริงแล้วเป็นสะพานข้ามแต่ชำรุดอย่างหนักจากการที่ฝนตกอย่างหนัก) สูงกว่า 30 ฟุต (9.1เมตร) ข้ามแม่น้ำปาดัง หลังจากข้ามแม่น้ำแล้วก็ต้องเดินทางไกลอีก 11 ไมล์ผ่านป่ากว่าจะไปถึงโรงเรียน ..
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก 1
เดินทางไปโรงเรียนโดยการใช้ห่วงยาง
18. โรงเรียนประถมในจังหวัด Rizal ทางตะวันออกของกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เด็กนักเรียนต้องเดินทางไปโรงเรียนโดยการใช้ห่วงยางอันใหญ่นั่งข้ามฝั่งไปยังโรงเรียน (อันตรายไปไหมเนี่ยหนูๆ >,<) ซึ่งตอนนี้ได้ร้องเรียนรัฐบาลท้องถิ่นให้ทำขึ้นสะพานแขวนขึ้น เพื่อที่จะทำให้เด็กๆ เดินทางข้ามแม่น้ำไปเรียนได้เร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้นกว่านี้
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
แม่กำลังแบกโต๊ะเรียน ในขณะที่ลูกสาวช่วยหิ้วเก้าอี้เรียน ไปโรงเรียน Macheng ในมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน
19. โรงเรียน Macheng ในมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน มีจำนวนนักเรียนมากกว่า 5000 คน แต่อุปกรณ์โต๊ะเรียนนั้นมีแค่ 3000 ตัวเท่านั้น ไม่เพียงพอแก่เด็กนักเรียน ทำให้เด็กนักเรียนที่เหลือกว่า 2000 คนนั้นต้องแบกโต๊ะเรียนของพวกเขา ซึ่งอาจจะเป็นของตั้งแต่รุ่นพ่อ-แม่นั้นแบกไปโรงเรียนเองในวันเปิดเทอมเรียนวันแรก
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
20. ในเขตปกครองตนเอง มณฑล  Guangxi Zhuang ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เด็กนักเรียนที่อาศัยอยู่ในแทบภูเขาต้องเดินทางระยะไกลมากๆ เพื่อจะมายังโรงเรียนที่อยู่ในหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างไกลบ้านของพวกเขา เด็กๆ ส่วนใหญ่จะประจำอยู่ที่โรงเรียนเป็นปีๆ และจะได้กลับบ้านในช่วงปิดเทอม ภาคฤดูร้อน หรือวันหยุดต่างๆ
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
เดินทางหลายร้อยเมตรผ่านหุบเขาที่ลึกชัน โดยใช้รถเคเบิ้ล
21. เพื่อให้ได้ไปโรงเรียนทุกวัน เด็กๆ ในหมู่บ้านบนภูเขา ในประเทศจีนต้องเดินทางหลายร้อยเมตรผ่านหุบเขาที่ลึกชัน โดยใช้รถเคเบิ้ลที่ทำกันขึ้นมาเองในหมู่บ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องการเดินทางโดยการเดินเท้าและใช้เวลา 5 ชั่วโมง
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
โรงเรียนที่ตั้งอยู่ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
22. โรงเรียนประถม Omika เป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukishima Daiichi ซึ่งเคยมีคนตายจากแผ่รังสีที่มาจากโรงงานนี้ มีนักเรียนจำวน 91 จากเดิม 205 นักเรียนยังคงเรียนอยู่ที่นี่ และที่โรงเรียนแห่งนี้จะมีตัววัดรังสีแสดงให้นักเรียนเห็นอีกด้วย “อย่าเข้ามาใกล้นะ อันตราย” เอิ่บ .. เดินทางว่าลำบากแล้ว ต้องมาเจอรังสีอำมหิตอีกหรอนี่ >.<
23 การเดินทางไปโรงเรียนที่อันตรายที่สุดในโลก
ต้องว่ายน้ำข้ามแม่น้ำที่มีความกว้าง 15 เมตร มีความลึกกว่า 20 เมตร
23. เด็กนักเรียนชาวเวียดนาม ต้องว่ายน้ำข้ามแม่น้ำที่มีความกว้าง  15 เมตร มีความลึกกว่า 20 เมตร ถึงวันละ 2 ครั้ง โดยเด็กๆ แก้ผ้าเปลือยเปล่าว่ายข้ามแม่น้ำ นำชุดนักเรียน หนังสือ กระเป๋าใส่ไว้ในถุงพลาสติกกันเปียกน้ำ

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

Great Blue Hole , Belize เกรทบลูโฮล ประเทศเบลิส

หลุมนี้เป็นหลุมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เรียกว่าหลุมสีน้ำเงิน
อยู่ในทะเลห่างจากชายฝั่งประเทศเบลิซ ประมาณ 60 ไมล์ แม้ว่าโลกนี้จะมีหลุมสีน้ำเงินหลายแห่ง
แต่หลุมนี้ใหญ่ที่สุด ตายกันมาหลายศพแล้วพี่น้อง

 
The Great Blue Hole คือหลุมขนาดยักษ์ที่จมอยู่ใต้น้ำนอกชายฝั่งของ Belize
ตั้งอยู่ใกล้เขตศูนย์กลางของ Lighthouse Reef ซึ่งเป็นเกาะปะการังขนาดย่อม
ประมาณ 100 กม. (62 ไมล์) จากชายฝั่งเมือง Belize เขตพื้นที่แนวหินโสโครกนี้ทอดตัวยาว
ประมาณ 1,000 ฟุต และเป็นที่อยู่สุดสบายของปะการังจึงทำให้เขตนี้เป็นเขตปะการัง
ที่อุดมสมบูรณ์และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง
 
นี่ละครับ "โคตรหลุมสีฟ้า" - The Great Blue Hole
 
The Great Blue Hole นี้มีขนาดกว้างประมาณ 300 ม.(984 ฟุต)
และลึกประมาณ 125 ม.(410 ฟุต) เองครับ !!! รูปร่างของหลุมเป็นลักษณะเหมือนถ้ำครับ
สันนิษฐานกันว่ามันก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็ง ซึ่งระดับน้ำทะเลในขณะนั้นอยู่ที่
ประมาณ 100-120 ม. (330-390 ฟุต) ซึ่งต่ำกว่าในปัจจุบันครับ
โดยคาดว่าแรกเริ่มเดิมทีมันเคยเป็นถ้ำหิน Limestone มาก่อน
ต่อมาพอระดับน้ำทะเลสูงขึ้นก็เลยท่วมถ้ำจนหมด เพดานถ้ำโดนน้ำเซาะจนพังทลาย
และยุบตัวซ้ำๆ จนกลายเป็นหลุมกลวงโบ๋อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
โดยมีอุณหภูมิที่ความลึก 130 ฟุต (40 เมตร) ประมาณ 76 องศา F (24 C) ตลอดทั้งปี
 
ลักษณะแท้จริงของ The Great Blue Hole คือเป็นถ้ำหินปูนใต้ทะเลครับ
 
The Great Blue Hole ยังเป็นสุสานของนักดำน้ำมากมายด้วย
สาเหตุของการตายของนักดำน้ำเพราะที่ระยะ 60 ม.
นักดำน้ำจะเกิดอาการ Nitrogen narcosis ทำให้หมดสติได้ ประกอบกับปากอุโมงค์
เห็นยากเพราะมีลักษณะเป็นหลุมที่ลึกและมืด ทำให้นักดำน้ำที่ยังอยากลงไป
พบจุดจบมากๆต่อมากแล้ว แต่ยังมีนักประดาน้ำจัดอันดับให้มันเป็น 1 ใน 7
สถานที่ดำน้ำประเภทที่สุดของโลกอยู่ดีครับ
มารู้จักกับอาการ.. Nitrogen Narcosis กัน...
Nitrogen Narcosis หรือที่เรียกว่า เมาไนโตรเจน จะเกิดขณะที่เราดำน้ำภายใต้ความลึก
ยิ่งความลึกเพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ ความกดดันจะเพิ่มขึ้นทุกความลึกที่ 10 ม., 20 ม. ,30 ม.ฯลฯ
การเพิ่มขึ้นของความกดดัน จะเป็นผลให้ Nitrogen
ที่มีอยู่ในอากาศที่เราใช้ในการหายใจ จะละลายเข้าสู่เนื้อเยื่อ
และของเหลวในร่างกายเรา ยิ่งลงไปลึกมาก นานมาก ปริมาณไนโตรเจนก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย

ไนโตรเจน จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเมา...
การลอยตัวกลับขึ้นสู่ที่ตื้น อาการดังกล่าวก็จะกลับสู่อาการปกติ...

"กฎของมาร์ตินี่ Martini's law" กล่าวว่า การดำน้ำลงไปทุกๆ 10 ม.
จะเท่ากับคุณดื่มมาร์ตินี่ 1 แก้ว (ไม่ต้องกินเหล้าแล้ว ไปดำน้ำดีกว่า เมาเหมือนกัน ฮี่..ฮี่..)

อาการที่เกิด ต้องระวังให้มากนะ เพราะอาการที่ผมเคยเป็นคือ หมดสติ 
ระดับความลึกที่เป็น 100 ฟุต/30 ม
.




หลุมที่ 5
Mirny Diamond Mine , ประเทศ Serbia

หลุมนี้เป็นหนึ่งในบรรดาหลุมใหญ่ๆที่ขุดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ เป็นเหมืองเพชรขนาดใหญ่
ของประเทศเซอร์เบีย ลึก 525เมตร และปากหลุมกว้างขนาด 1200 เมตร
เคยประกาศเป็นเขตห้ามบินผ่าน เพราะในอดีตหลุมนี้เคยดูด
เครื่องบินเฮลิคอบเตอร์ตกลงไปหลายลำ



[2.jpg]
ลูกศรแดงๆ นั่นคือรถบรรทุกนะครับ คิดดูละกันว่าใหญ่ขนาดไหน
หลุมที่ 6
Diavik Mine, ประเทศ Canada


หลุมนี้เป็นหลุมของเหมืองขนาดใหญ่ของเหมืองDiavik  ประเทศแคนาดา
ใหญ่ขนาดไหนเหรอ? อิอิ..ก็ใหญ่ขนาดมีรันเวย์ของเครื่องบิน Boeing 737 ขึ้นลงได้อย่างสบายๆ




หลุมที่ 7 หลุมแผ่นดินไหว
หลุมนี้เกิดขึ้นเองเมื่อต้นปี 2551 ที่ผ่านมานี่เอง ที่ประเทศกัวเตมาลา
เป็นหลุมที่เกิดจากการทรุดของแผ่นดินและดูดเอาบ้านนับสิบหลังและฆ่าชาวบ้านไป 3 ศพ
จมหายลงไปในแผ่นดิน มีความลึกถึง 100 เมตร











หลุมที่ 8 หลุมอุกาบาต
อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่พุ่งชนโลกอย่างแรง ทำให้เกิดหลุมลึกบนพื้นโลกเรียกว่า
เครเตอร์ หลุมอุกกาบาตใหญ่ที่สุดบนโลก คือ หลุมแบริงเยอร์ ในรัฐอะริโซนา สหรัฐอเมริกา
คาดว่า เกิดจากอุกกาบาตชนิดเหล็กหนักถึง 1 ล้านตัน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร
ตกกระแทก พื้นโลกเป็นหลุมมหึมา ปากหลุมกว้าง 1,200 เมตร ลึก 170 เมตร
ความลึกเท่ากับตึกสูง 40 ชั้นทีเดียว หลุมแบริงเยอร์อายุประมาณ 22,000 ปี





หลุมที่ 9 "ประตูสู่นรก" Hell Gate (Uzbekistan)
สถานที่อันสวยงามอย่างน่าสพรึงกลัว
อยู่ใกล้เมืองเล็กๆ ชื่อ Darvaz ของประเทศอุเบกิซสถาน
ค้นพบโดยบังเอิญจากการขุดแก๊สเมื่อ 35 ปีก่อน





เป็นหลุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยแก๊สพิษมากมาย คนขุดไม่รู้จะทำยังไงเลยจุดไฟเผาซะเลย
ปรากฎว่าเผามาแล้ว 35 ปี ไฟมันยังไม่เคยดับเลยแม้แต่วินาทีเดียว...



ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่า มันจะหยุดเมื่อใดทุกวันนี้ยังไม่มีใครกล้าลงไปสำรวจ





 

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

  ศิลปะ
  ศิลปะเป็นคำที่มีความหมายทั้งกว้างและจำเพาะเจาะจง ทั้งนี้ย่อมแล้วแต่ทัศนะของแต่ละคน
 แต่ละสมัยที่จะกำหนดแนวความคิดของศิลปะให้แตกกต่างกันออกไป   หรือแล้วแต่ว่าจะมีใคร
 นำคำว่า "ศิลปะ" นี้ไปใช้ในแวดวงที่กว้างหรือจำกัดอย่างไร

  ศิลปะ เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
   ในสมัยโบราณ นักปราชญ์ได้ให้ความหมายของศิลปะ (Art) ไว้ว่า ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
 ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ   เพราะฉะนั้น   ต้นไม้ ภูเขา ทะเล น้ำตก  ความงดงามต่าง  ๆ
 ตามธรรมชาติจึงไม่เป็นศิลปะ  ดอกไม้ที่เห็นว่าสวยสดงดงามนักหนา   ก็ไม่ได้เป็นศิลปะเลย    ถ้า
 หากเรายึดถือตามความหมายนี้แล้ว      สิ่งที่มนุษย์สร้างสร้างขึ้นทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิลปะ
 ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น   ภาพวาด  ภาพพิมพ์  งานปั้น  งานแกะสลัก    เสื้อผ้าอาภรณ์    เครื่องประดับ ที่อยู่อาศัย  ยานพาหนะ  เครื่องใช้สอย  ตลอดจนถึงอาวุธที่ใช้รบราฆ่าฟันกัน ก็ล้วนแต่เป็นศิลปะ
 ทั้งสิ้นไม่ว่ามนุษย์สร้างสิ่งที่ดีงาม เลิศหรูอลังการ   หรือน่าเกลียดน่าชังอย่างไรก็ตาม ล้วนแต่เป็น
 งานศิลปะอย่างนั้นหรือไม่ ?

   ศิลปะเป็นผลงานการสร้างสรรค์
    ในสมัยต่อมา มีผู้ให้ความหมายของศิลปะว่า ศิลปะเป็นผลงานการสร้างสรรค์  ซึ่งในความหมาย
  นี้ เราต้องมาตีความหมายของคำว่า   "การสร้างสรรค์"   กันเสียก่อน   การสร้างสรรค์ หรือที่ภาษา
 อังกฤษเรียกว่านั้น คือ    การทำให้เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา    ซึ่งบางสิ่งบางอย่างนั้น

 ไม่เคยมีอยู่มาก่อน ทั้งที่เป็นผลิตผล หรือกระบวนการ  หรือความคิด  ดังนั้น สิ่งที่จะเป็นงานสร้าง
 สรรค์ได้จะต้องเป็นประดิษฐ์กรรมใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก   หรือเป็นกระบวนการใหม่ ๆ ที่
 สร้างขึ้นมาเพื่อกระทำการบางสิ่งบางอย่างให้ประสบผลสำเร็จ      หรือเป็นการสร้างแนวคิดใหม่
 ที่จะนำไปสู่วิธีการใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ ๆ  นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ เพราะแนวคิด
 ใหม่ จะนำไปสู่การพัฒนากระบวนการ หรือวิธีการใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่ผลผลิตหรือประดิษฐ์กรรม
 ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นมาในโลก และตอบสนองความต้องการในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ได้  เพื่อแทนที่
 ผลผลิต หรือประดิษฐ์กรรมเดิม ที่ตอบสนองได้ไม่พอเพียง หรือไม่เป็นที่พอใจ  การสร้างสรรค์ใน
 อีกความหมายหนึ่งจึงเกิดขึ้น คือ เป็นการทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมีหลาย ๆ วิธี โดยอาจเป็นการปรับ
 ปรุงกระบวนการใหม่ ให้ได้ผลผลิตมากกว่าเดิม หรือเป็นการปรับปรุงรูปแบบผลผลิตใหม่ โดยใช้
 วิธีการเดิม แต่ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ๆ ก็ตาม เป็นการกระทำให้เกิดขึ้น
 จากการใช้แนวคิดแบบใหม่ ๆ ทั้งสิ้น และเป็นผลของวิธีการคิดที่เรียกว่า "ความคิดสร้างสรรค์"

     
 
     
ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน และสามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้โดยอาศัยสภาพ

 แวดล้อมที่เหมาะสมและบรรยากาศที่เอื้ออำนวย  ความคิดสร้างสรรค์เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับงาน
 ศิลปะอย่างแยกกันไม่ออก หรืออาจกล่าวได้ว่า ศิลปะเป็นผลงานจากความคิดสร้างสรรค์
    ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า   ศิลปะเป็นผลจากความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น  สิ่งใดก็ตามที่มีความคิดสร้าง
 สรรค์ ก็สามารถสร้างงานศิลปะได้    จากตอนต้นที่กล่าวว่า    ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แสดงว่า
 มนุษย์เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์  และสามารถสร้างงานศิลปะได้ แต่นอกเหนือจากมนุษย์แล้วจะยัง
 มีสิ่งอื่น ๆ อีกหรือไม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์    จากประวัติศาสตร์ของมนุษย์    และการศึกษา ค้นคว้า
 ทางวิทยาศาสตร์ เราจะพบว่าสัตว์โลกหลาย ๆ ชนิดมีความคิด รู้จักความรักและมีสัญชาตญาณ แต่สิ่ง
 เหล่านั้นจะจัดเป็นความคิดสร้างสรรค์หรือไม่  สัตว์ทั้งหลายสามารถสร้างหรือกระทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อ
 ตอบสนองความต้องการได้ดีกว่าเดิมหรือไม่  รู้จักพัฒนาแนวคิด   กระบวนการ และผลผลิตให้ดีกว่า
เดิมหรือไม่ ?
            

               หากเราจะเปรียบเทียบย้อนหลังไปเมื่อหลายหมื่น- แสนปีก่อนหน้านี้ เมื่อมนุษย์ยังอยู่

 ในถ้ำ ยังไม่สรวมเสื้อผ้า เก็บผลไม้กินหรือไล่จับสัตว์กินเป็นอาหารซึ่งมีชีวิตไม่ต่างจากสัตว์ทั้งหลาย
 ในทุกวันนี้ แต่ปัจจุบัน มนุษย์มีบ้านอยู่สบาย  มีเครื่องแต่งกายสวยงาม  มีสิ่งอำนวยความสะดวก มาก
 มาย สามารถไปได้ทั้งบนน้ำ ในน้ำ ในอากาศและอวกาศ  มีเมือง  มีระบบสังคม  มีระเบียบปฏิบัติร่วม
 กัน มีกระบวนการพัฒนามนุษย์ที่จะสืบทอดดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป  มีจริยศาสตร์  มีศาสนาและพิธีกรรม
 มีรูปแบบการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันอย่างหลาหลาย กระจายไปทั่วโลก  ขณะที่สัตว์โลกอื่น ๆ   ยังคง
 ดำรงชีวิตอยู่เดิม ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก  ข้อแตกต่างนี้ บางทีอาจเป็นสิ่งพิสูจน์ได้ว่า  มนุษย์
 เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ เพียงหนึ่งเดียวบนโลกนี้  ดังนั้น  ศิลปะจึงเป็นเรื่องของมนุษย์   สร้างขึ้น
 โดยมนุษย์ และเพื่อมนุษย์เท่านั้น

     จากข้อความข้างต้นที่กล่าวมา เราอาจสรุปได้ว่า  ศิลปะเป็นสิ่งที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์

 ซึ่งในความหมายเช่นนี้ แสดงว่า สิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์คิดค้นกระทำขึ้นมา  ทั้งที่เป็นการกระทำใหม่ ๆ
 หรือเป็นการกระทำสิ่งต่าง ๆให้ดีขึ้นกว่าเดิมล้วนแต่เป็นงานศิลปะทั้งสิ้น อย่างนั้นหรือไม่ ? ถ้าเป็น
 อย่างนั้น แนวคิดใหม่ ๆ วิธีการใหม่ ๆ ประดิษฐ์กรรมใหม่ ๆ ความเชื่อใหม่ ๆ  ศาสนาใหม่ ๆ  ตลอด
 จนถึงการดำรงชีวิตแบบใหม่ อาวุธใหม่ ๆ การสร้างความหายนะให้กับผู้อื่นด้วยวิธีการใหม่ ๆ  ก็เป็น
 ศิลปะอย่างนั้นหรือ ? การทำลายล้างด้วยอาวุธใหม่ ๆ รวดเร็ว รุนแรง  สร้างความเสียหายใหญ่หลวง
 จะถูกยกย่องว่าเป็นผลงานศิลปะชั้นเยี่ยมหรือไม่  ?

  
    ศิลปะคือความงาม

     เมื่อเราพูดถึง ศิลปะ เรามักจะหมายถึง ความงาม แต่ความงามในที่นี้เป็นเรื่องของคุณค่า (Value) ที่
 เป็นคุณค่าทางสุนทรียะ  แตกต่างจากคุณค่าทางเศรษฐกิจ ที่เป็นราคาของวัตถุ  แต่เป็นคุณค่าต่อจิตใจ
 ความงามเกิดขึ้นด้วยอารมณ์ มิใช่ด้วยเหตุผล   ความคิด หรือข้อเท็จจริง  คนที่เคร่งครัดต่อเหตุผลหรือ
 เพ่งเล็งไปที่คุณค่าทางวัตถุจะไม่เห็นความงาม  คนที่มีอารมณ์ละเอียดอ่อนไหว จะสัมผัสความงามได้
 ง่ายและรับได้มาก   ความงามให้ความยินดี ให้ความพอใจได้ทันทีโดยไม่ต้องมีเหตุผล  ความยินดีนั้น
 เกิดขึ้นเองโดยไม่มีการบังคับ  ความงามนั้นเกี่ยวข้องกับวัตถุก็จริง  แต่มิได้เริ่มที่วัตถุ  มันเริ่มที่อารมณ์
 ของคน ดังนั้น ความงามจึงเป็นอารมณ์  เป็นสุขารมณ์หรือเป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดความสุน  เป็น1 ใน
 3  สิ่งที่ก่อให้เกิดความสุขกับมนุษย์ ซึ่งได้แก่  ความดี  ความงาม  และความจริง ผู้ที่ยอมรับและเห็นใน
 คุณค่าของทั้งสามสิ่งนี้ จะเป็นผู้มีความสุข   เนื่องจากความงามเป็นอารมณ์   เป็นสิ่งที่อยู่ในความรู้สึก
 นึกคิด ความงามจึงเป็นนามธรรม  ดังนั้น  การสร้างสรรค์งานศิลปะ  ก็เป็นการถ่ายทอดความงามผ่าน
 สื่อวัสดุต่าง ๆ ออกมา เพื่อให้ผู้อื่นได้สัมผัส ได้พบเห็น  ได้รับรู้    สื่อต่าง ๆ จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ชม
 เกิดอารมณ์ทางความงามที่แตกต่างกันตามค่านิยมของแต่ละบุคคล   ความงามไม่ใช่ศิลปะ เนื่องจากว่า
 ความงามไม่จำเป็นต้องเกิดจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ในธรรมชาติก็มีความงามเช่นกัน เช่น  บรรยากาศ
 ขณะที่พระอาทิตย์ขึ้น หรือตกดิน  ความสวยงามสดชื่นของดอกไม้  ทิวทัศน์ธรรมชาติต่าง ๆ   เป็นต้น
 งานศิลปะที่ดีจะให้ความพึงพอใจในความงามแก่ผู้ชมในขั้นแรก      และจะให้ความสะเทือนใจที่คลี่
 คลายกว้างขวางยิ่งขึ้นด้วยอารมณ์ทางสุนทรียะของผลงานศิลปะนั้นในขั้นต่อไป     ความงามในงาน
 ศิลปะออกเป็น 2 ประเภท คือ

   
  
1 ความงามทางกาย (Physical Beauty) เป็นความงามของรูปทรง
     ที่กำหนดเรื่องราว หรือเกิดจากการ
ประสานกลมกลืนกัน
     ของทัศนธาตุ เป็นผลจากการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ

   2  ความงามทางใจ (Moral  Beauty) ได้แก่ ความรู้สึก หรืออารมณ์
      ที่แสดงออกมาจากงานศิลปะหรือ
ที่ผู้ชมสัมผัสได้จาก
      งานศิลปะนั้น ๆ

     ในงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ๆ มีความงามทั้ง 2 ประเภทอยู่ร่วมกัน  
แต่อาจแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง
มากน้อยขึ้นอยู่กับประเภท
  ของงาน  เจตนาของผู้สร้างและการรับรู้ของผู้ชมด้วย 
    
       ความงามในศิลปะ
เป็นการสร้างสรรค์ล้วน ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความงามวัตถุในธรรมชาติ  เป็นความงามที่แสดงออกได้
 แม้ในสิ่งที่น่าเกลียด  หัวข้อ  เรื่องราว   หรือเนื้อหาที่ใช้สร้างงานนั้นอาจน่าเกลียด   แต่เมื่อเสร็จแล้ว ก็ยังปรากฎความงาม
  ที่เกิดจากอารมณ์ที่ศิลปินแสดงออก   ดังนั้น ความงามจึงเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง
 ที่ว่าด้วยความงามที่ศิลปินแสดงออกในงาน
  ศิลปะ ซึ่งเรียกว่า  "สุนทรียศาสตร์"  มีข้อความที่ใช้กัน
 มาตั้งแต่สมัยเรอเนซองค์จนถึงทุกวันนี้ว่า
  "ศิลปะมิได้จำลองความงาม  แต่สร้างความงามขึ้น"

    
          ดังนั้น  จึงอาจสรุปได้ว่า "ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดความ
งาม และความพึงพอใจ"
  
ที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์สืบเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตอันยาวนานจนถึงปัจจุบัน และจะสร้างสรรค์สืบต่อไปในอนาคตให้อยู่คู่กับเผ่าพันธุ์มนุษย์
ไปตราบนานเท่านาน    โดยมีการ
 สร้างสรรค์ พัฒนารูปแบบต่าง ๆ ออกไปอย่างมากมายไม่มีที่สิ้นสุด
     ศิลปะในความหมายต่าง ๆ
             ศิลปะ แต่เดิมหมายถึง งานช่างฝีมือ เป็นงานที่มนุษย์ใช้สติปัญญาสร้างสรรค์ขึ้นด้วย ความประณีตวิจิตรบรรจง
ฉะนั้น    งานศิลปะจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็น
 ผลงานที่มนุษย์ใช้ปัญญา
ความศรัทธา และความพากเพียรพยายามสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่

         คำว่า Art  ตามแนวสากลนั้น มาจากคำ  Arti  และ  Arte  ซึ่งเริ่มใช้ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
  ความหมายของคำ Arti นั้น หมายถึงกลุ่มช่างฝีมือในศตวรรษที่ 14 , 15 และ 16
คำ Arte  มี
ความหมายถึงฝีมือ ซึ่งรวมถึงความรู้ของการใช้วัสดุของศิลปิน ด้วย เช่นการ การผสมสี
ลงพื้นสำ
หรับการเขียนภาพสีน้ำมัน  หรือการเตรียมและการใช้วัสดุอื่นอีก 
การจำกัดความให้แน่นอน
ลงไปว่าศิลปะคืออะไรนั้น เป็นเรื่องยาก เพราะว่า ศิลปะเป็นงานสร้างสรรค์ 
ศิลปินมีหน้าที่
 สร้างงานที่มีแนวคิดและรูปแบบแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา   ทฤษฎีศิลปะในสมัยหนึ่งอาจ
 ขัดแย้งกับของอีกสมัยหนึ่งอย่างตรงกันข้าม และทฤษฎีเหล่านั้นก็ล้วนเกิดขึ้นภายหลังผลงานสร้างสรรค์
ที่เปลี่ยนแปลงและก้าวล้ำหน้าไปก่อนแล้วทั้งสิ้น  อย่างไรก็ตาม ทัศนะเกี่ยวกับ
  ความหมายของศิลปะ
ได้ถูกกำหนดตามการรับรู้ และตามแนวคิดต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง  โดย
 บุคคลต่าง ๆ ซึ่งพอยกตัวอย่างได้ดังนี้

….ศิลปะ คือ ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้ปรากฏซึ่ง
 สุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ความอัจฉริยภาพ พุทธิปัญญา ประสบการณ์
 รสนิยมและทักษะของแต่ละคน เพื่อความพอใจ  ความรื่นรมย์  ขนบธรรมเนียม  จารีตประเพณีหรือ
 ความเชื่อทางศาสนา  ( พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2530 )

….ศิลปะ คือ ผลงานการสร้างสรรค์รูปลักษณ์แห่งความพึงพอใจขึ้นมา และรูปลักษณ์ก่อให้เกิดอารมณ์
 รู้สึกในความงาม  อารมณ์รู้สึกในความงามนั้นจะเป็นที่พึงพอใจได้ก็ต่อเมื่อ ประสาทสัมผัสของเรา
 ชื่นชมในเอกภาพ หรือความประสมกลมกลืนกันในความสัมพันธ์อันมีระเบียบแบบแผน 
.
 ( Herbert Read, 1959)

….ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อแสดงออกซึ่งอารมณ์  ความรู้สึก  สติปัญญา  ความคิด และ/ หรือความงาม  
( ชลูด  นิ่มเสมอ, 2534 )

….ศิลปะ เป็นผลงานที่เกิดจากการแสดงออกของอารมณ์ ปัญญา และทัศนคติ  รวมทั้งทักษะความชำนิ ชำนาญของมนุษย์
  การสร้างสรรค์งานศิลปะในปัจจุบันมีแนวโน้มไปในทางการสร้างสรรค์ และการ
แสดงออกของอารมณ์และความคิด 
ดังนั้น งานศิลปะนั้นอย่างน้อยที่สุดควรก่อให้เกิดอารมณ์ และ
 ความคิดสร้างสรรค์
กล่าวคือ เป็นงานที่สื่อให้ผู้ชมเกิดจินตนาการ นอกจากนั้น งานศิลปะที่ดีควรจะมี
คุณค่าทางความงาม
ซึ่งเกิดจากการใช้องค์ประกอบของสุนทรียภาพ
( วิรัตน์  พิชญ์ไพบูลย, 2524)